@
ความขัดแย้งระหว่างบุคลในระดับเดียวกันเป็นความขัดแย้งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรืองที่ต้องกล่าวขานมากที่สุด แต่ในการวิจัยความขัดแย้งในองค์การที่ผ่านมา แทบไม่มีใครพูดถึงเลย แสดงว่าในบริบทที่มีการแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบันนี้มีเรื่องความขัดแย้งอื่นที่น่าสนใจกว่าเรื่องความขัดแย้งกันเองในหมู่พนักงาน แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีความขัดแย้งให้ยกมาเป็นตัวอย่างได้บ้าง เช่น
@
ความขัดแย้งที่เป็นเรื่องส่วนตัว
ชอบส่งเสียงดัง อวดรวย แต่งตัวเกินงาม เจ้าชู้กับเมีย(ผัว)เพื่อน ไม่เกรงใจ ทำตัวให้เป็นที่น่ารังเกลียด ทำตัวเป็นที่น่าหมั่นไส้ เป็นต้น
@
ความขัดแย้งที่เป็นเรื่องงาน
ทำงานกินแรงเพื่อน ทำงานไม่ตรงเวลาเป็นประจำ ไม่แบ่งงานให้เพื่อน ทำงานช้า ทำงานเร็ว ทิ้งงานให้เพื่อนทำแทน ชอบอ้างอำนาจเจ้านาย ประจบเจ้านาย ทำงานเอาหน้า คอยขีดเส้นในใบเซ็นชื่อให้เพื่อนตกเส้น(สาย) เป็นต้น
@
อย่างไรก็ดีความขัดแย้งระหว่างบุคลไม่น่าที่จะเป็นความขัดแย้งที่สำคัญมากในบริบทนี้ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงเป็นความขัดแย้งที่ต้องบริหารจัดการ
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553
ความขัดแย้งในตัวเอง
@
ความขัดแย้งในตัวเองเป็นความขัดแย้งทางจิตวิทยา ซึ่งสามารถแยกได้เป็น สองประเภท คือ
@
ขัดแย้งที่เป็นผลลบต่อตนเองและองค์การ เช่น
ได้ของสิ่งหนึ่งมาแต่ไม่พอใจในสิ่งที่ได้มา หรือมีความอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ หรือคิดว่าตัวเองทำงานมากกว่าใครทั้งหมด หรือใครก็ไม่มีความสามารถเท่าตนเอง หรือคิดว่าองค์การคงจะไปไม่รอดถ้าตนเองไม่อยู่ในองค์การนี้ หรือคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถ หรือคิดว่าหัวหน้าลำเอียงเลือกปฏิบัติ หรือคิดว่าหัวหน้าทำงานไม่ได้เรื่องถ้าเราได้เป็นหัวหน้าจะดีกว่านี้ หรือคิดว่าทำงานเท่าไรก็ได้ขั้นเดียวงั้นเช้าชามเย็นชามดีกว่า เป็นต้น
@
ขัดแย้งที่เป็นผลบวกต่อตนเองและองค์การ เช่น
งานที่ทำใช้ความสามารถน้อยกว่าความสามารถที่ตนเองมีอยู่ หรือตนเองทำงานไม่คุ้มกับเงินเดือนต้องหางานมาทำเพิ่ม หรือหน่วยงานเราดีกว่าหน่วยงานอื่นๆ เป็นต้น
@
ซึ่งความขัดแย้งในตัวเองทั้งด้านบวกและด้านลบพร้อมที่จะเป็นปัญหากับองค์การทั้งสิ้น ถ้าไม่มีการบริหารจัดการที่ดี
ความขัดแย้งในตัวเองเป็นความขัดแย้งทางจิตวิทยา ซึ่งสามารถแยกได้เป็น สองประเภท คือ
@
ขัดแย้งที่เป็นผลลบต่อตนเองและองค์การ เช่น
ได้ของสิ่งหนึ่งมาแต่ไม่พอใจในสิ่งที่ได้มา หรือมีความอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ หรือคิดว่าตัวเองทำงานมากกว่าใครทั้งหมด หรือใครก็ไม่มีความสามารถเท่าตนเอง หรือคิดว่าองค์การคงจะไปไม่รอดถ้าตนเองไม่อยู่ในองค์การนี้ หรือคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถ หรือคิดว่าหัวหน้าลำเอียงเลือกปฏิบัติ หรือคิดว่าหัวหน้าทำงานไม่ได้เรื่องถ้าเราได้เป็นหัวหน้าจะดีกว่านี้ หรือคิดว่าทำงานเท่าไรก็ได้ขั้นเดียวงั้นเช้าชามเย็นชามดีกว่า เป็นต้น
@
ขัดแย้งที่เป็นผลบวกต่อตนเองและองค์การ เช่น
งานที่ทำใช้ความสามารถน้อยกว่าความสามารถที่ตนเองมีอยู่ หรือตนเองทำงานไม่คุ้มกับเงินเดือนต้องหางานมาทำเพิ่ม หรือหน่วยงานเราดีกว่าหน่วยงานอื่นๆ เป็นต้น
@
ซึ่งความขัดแย้งในตัวเองทั้งด้านบวกและด้านลบพร้อมที่จะเป็นปัญหากับองค์การทั้งสิ้น ถ้าไม่มีการบริหารจัดการที่ดี
การพิจารณาความขัดแย้งในองค์การ
@
โดยทั่วไปแล้วความขัดแย้งมีระดับต่างๆดังต่อไปนี้
1. ความขัดแย้งในตัวเอง
2. ความขัดแย้งระหว่างบุคลในระดับเดียวกัน
3. ความขัดแย้งระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา
4. ความขัดแย้งระหว่างผู้บังคับบัญชากับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชา
5. ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานในองค์การเดียวกัน
6. ความขัดแย้งระหว่างองค์การ
โดยทั่วไปแล้วความขัดแย้งมีระดับต่างๆดังต่อไปนี้
1. ความขัดแย้งในตัวเอง
2. ความขัดแย้งระหว่างบุคลในระดับเดียวกัน
3. ความขัดแย้งระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา
4. ความขัดแย้งระหว่างผู้บังคับบัญชากับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชา
5. ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานในองค์การเดียวกัน
6. ความขัดแย้งระหว่างองค์การ
ความสำคัญของความขัดแย้งในองค์การ
@
โดยทั่วไปแล้ว องค์การทุกแห่งจะไม่ชอบความขัดแย้ง ในอดีตนั้นความขัดแย้งจะถูกมองว่าผิดเพี้ยน เป็นความลับที่น่าอายสำหรับองค์การ แต่ในความเป็นจริงต้องยอมรับว่าความขัดแย้งมีอยู่จริง โดยต่างฝ่ายก็มีผลประโยชน์ที่ขัดกัน และความเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งองค์การบางแห่งก็มักจะไม่ยอมรับว่ามีความขัดแย้ง รวมถึงการไม่ยอมรับแม้กระทั่งความเห็นที่แตกต่างของผู้ใต้บังคับบัญชา
@
ในช่วงระยะเวลา 10 – 15 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีองค์การหลายองค์การยอมรับมากขึ้นว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย ทั้งฝ่ายบริหารและผู้ใต้บังคับบัญชา มองว่าทักษะในการแก้ไขความขัดแย้งเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการประสานงานระหว่างกันภายในองค์การ และรวมถึงลูกค้าด้วย นี่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ปริมาณความขัดแย้งได้เพิ่มขึ้น และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป (แลนโด, ซาย, 2549 : 15-16)
@
จากสิ่งที่กล่าวข้างต้น อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าความขัดแย้งในองค์การเป็นสิ่งสำคัญ องค์การทุกประเภทย่อมมีความขัดแย้งด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าหากองค์การใดมีความขัดแย้งเกิดขึ้นและไม่สามารถควบคุมหรือใช้ความขัดแย้งนั้นไปในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การ อาจจะไม่สามารถดำรงอยู่รอดได้ในท่ามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน
โดยทั่วไปแล้ว องค์การทุกแห่งจะไม่ชอบความขัดแย้ง ในอดีตนั้นความขัดแย้งจะถูกมองว่าผิดเพี้ยน เป็นความลับที่น่าอายสำหรับองค์การ แต่ในความเป็นจริงต้องยอมรับว่าความขัดแย้งมีอยู่จริง โดยต่างฝ่ายก็มีผลประโยชน์ที่ขัดกัน และความเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งองค์การบางแห่งก็มักจะไม่ยอมรับว่ามีความขัดแย้ง รวมถึงการไม่ยอมรับแม้กระทั่งความเห็นที่แตกต่างของผู้ใต้บังคับบัญชา
@
ในช่วงระยะเวลา 10 – 15 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีองค์การหลายองค์การยอมรับมากขึ้นว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย ทั้งฝ่ายบริหารและผู้ใต้บังคับบัญชา มองว่าทักษะในการแก้ไขความขัดแย้งเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการประสานงานระหว่างกันภายในองค์การ และรวมถึงลูกค้าด้วย นี่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ปริมาณความขัดแย้งได้เพิ่มขึ้น และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป (แลนโด, ซาย, 2549 : 15-16)
@
จากสิ่งที่กล่าวข้างต้น อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าความขัดแย้งในองค์การเป็นสิ่งสำคัญ องค์การทุกประเภทย่อมมีความขัดแย้งด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าหากองค์การใดมีความขัดแย้งเกิดขึ้นและไม่สามารถควบคุมหรือใช้ความขัดแย้งนั้นไปในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การ อาจจะไม่สามารถดำรงอยู่รอดได้ในท่ามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน
ความนำ
@
ไม่ว่าที่ใดๆก็ตาม ย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งในการดำเนินชีวิตของคนทั่วไปก็ย่อมจะต้องพบกับความขัดแย้งอยู่เป็นนิจ ตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างบุคคลในครอบครัว ในชุมชน หรือในชนชั้นทางสังคม และเมื่อทราบเช่นนี้แล้วดังนั้น จึงต้องพยายามไม่ให้เกิดความขัดแย้งในเบื้องต้น หรือในกรณีที่เกิดแล้วก็ต้องพยายามจำกัดเขตให้อยู่ในวงแคบไม่ให้ลุกลามใหญ่โต และท้ายที่สุดจะต้องพยายามทำให้ความขัดแย้งนั้นกลายเป็นคุณมากกว่าเป็นโทษ (สัญญา สัญญาวิวัฒน์, 2550 : 108) Karl Marx ได้ให้แนวความคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งไว้ตอนหนึ่งว่า “ความขัดแย้งเป็นลักษณะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีอยู่ดาษดื่น เกิดจากการแบ่งปันสิ่งของที่หายาก และที่เด่นชัดที่สุดก็คือ เกิดจากการใช้อำนาจ ซึ่งความขัดแย้งจะเป็นสิ่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบสังคม” (สัญญา สัญญาวิวัฒน์, 2550 : 74) จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องของธรรมชาติ เกิดได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ เป็นสิ่งที่ต้องจัดการด้วยความรอบคอบ และรอบรู้ ซึ่งการจัดการความขัดแย้ง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์การ ที่ปรารถนาจะประสบผลสำเร็จในธุรกิจที่กำลังดำเนินการอยู่ในโลกยุคปัจจุบันนี้ เพื่อให้องค์การรอดพ้นจากปัญหาต่างๆ และมีผลประโยชน์จากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าที่ใดๆก็ตาม ย่อมมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งในการดำเนินชีวิตของคนทั่วไปก็ย่อมจะต้องพบกับความขัดแย้งอยู่เป็นนิจ ตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างบุคคลในครอบครัว ในชุมชน หรือในชนชั้นทางสังคม และเมื่อทราบเช่นนี้แล้วดังนั้น จึงต้องพยายามไม่ให้เกิดความขัดแย้งในเบื้องต้น หรือในกรณีที่เกิดแล้วก็ต้องพยายามจำกัดเขตให้อยู่ในวงแคบไม่ให้ลุกลามใหญ่โต และท้ายที่สุดจะต้องพยายามทำให้ความขัดแย้งนั้นกลายเป็นคุณมากกว่าเป็นโทษ (สัญญา สัญญาวิวัฒน์, 2550 : 108) Karl Marx ได้ให้แนวความคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งไว้ตอนหนึ่งว่า “ความขัดแย้งเป็นลักษณะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีอยู่ดาษดื่น เกิดจากการแบ่งปันสิ่งของที่หายาก และที่เด่นชัดที่สุดก็คือ เกิดจากการใช้อำนาจ ซึ่งความขัดแย้งจะเป็นสิ่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบสังคม” (สัญญา สัญญาวิวัฒน์, 2550 : 74) จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องของธรรมชาติ เกิดได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ เป็นสิ่งที่ต้องจัดการด้วยความรอบคอบ และรอบรู้ ซึ่งการจัดการความขัดแย้ง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์การ ที่ปรารถนาจะประสบผลสำเร็จในธุรกิจที่กำลังดำเนินการอยู่ในโลกยุคปัจจุบันนี้ เพื่อให้องค์การรอดพ้นจากปัญหาต่างๆ และมีผลประโยชน์จากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)